สมัยกรุงธนบุรี



            ปี พ.. ๒๓๑๔ ในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี พระวอ (พระวรราชภักดี) อุปราชแห่งกรุงศรีสัตนาคนหุต และพระตา เสนาบดี เกิดขัดใจกันกับพระเจ้าศิริบุญสาร กษัตริย์แห่งเวียงจันทน์ ในครั้งนั้น พระวอพระตาเป็นนายกองอยู่บ้านหินโงม จึงรวบรวมไพร่พลไปสร้างเมืองใหม่ที่บริเวณหนองบัวลำภู(จังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน) ใช้ชื่อเมืองใหม่ว่า "เมืองนครเขื่อนขันธ์ กาบแก้วบัวบาน" (ในพระราชวิจารณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี เรียกว่า เมืองจำปา นครขวางกาบแก้วบัวบาน)
          พระเจ้าศิริบุญสารได้ยกกองทัพมาปราบแต่ไม่สำเร็จ ต่อมาพระวอพระตาเกรงจะถูกรุกรานอีก จึงไปขออ่อนน้อมต่อพม่าเพื่อขอกำลังมาโจมตีเวียงจันทน์ เมื่อทางเวียงจันทน์ทราบเรื่องก็ส่งทูตไปขออ่อนน้อมต่อพม่าบ้าง แล้วยกกองทัพเข้าตีเมืองหนองบัวลำภูแตก พระตาตายในที่รบ พระวอจึงอพยพหนีไปตั้งมั่นอยู่ที่ตำบลหนองมดแดง (อยู่ในเขตอุบลราชธานีในปัจจุบัน) แล้วแต่งเครื่องบรรณาการไปขอเป็นเมืองขึ้นต่อกรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินยอมรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย
          ปี พ.. ๒๓๑๘   (.. ๑๗๗๖)   พระเจ้าศิริบุญสารได้ยกกองทัพมาโจมตีพระวอที่ดอนมดแดง กองทัพเวียงจันทน์ได้จับตัวพระวอฆ่าตาย พรรคพวกของพระวอจึงถือสาส์นไปยังเมืองนครราชสีมาเพื่อขอกำลังพระเจ้าตากสินไปช่วย พระเจ้าตากสินโปรดให้สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกและพระยาสุรสีห์เป็นแม่ทัพยกไปตีเวียงจันทน์ กองทัพไทยยกไปทางนครจำปาศักดิ์ แต่กองทัพเวียงจันทน์ถอยกลับไปแล้วเจ้าไชยกุมาร ผู้ครองนครจำปาศักดิ์ได้ยอมอ่อนข้อแต่โดยดี จากนั้นกองทัพไทยได้ยกไปตีเวียงจันทน์ล้อมอยู่นานถึงสี่เดือนจึงตีเมืองเวียงจันทน์ได้   และการตีเมืองเวียงจันทน์ครั้งนั้น   ทางหลวงพระบางได้ยกทัพมาช่วยไทยตีเมืองเวียงจันทน์ด้วย เมื่อไทยยึดได้เวียงจันทน์ หลวงพระบางก็ยอมอ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้นต่อไทยกองทัพไทยได้กวาดต้อนผู้คนชาวลาวและทรัพย์สิน พร้อมทั้งได้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากเวียงจันทน์  และพระบางจากหลวงพระบางลงมากรุงเทพฯ    (ภายหลังได้คืนพระบางให้หลวงพระบางตามเดิม เพราะเชื่อมั่นว่าถ้าพระบางและพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในเมืองเดียวกัน เมืองนั้นจะเกิดวิบัติขึ้น)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น